เกริ่นมาขนาดนี้ เราก็จะมาพูดถึงช่วงหน้าฝนหน้าใจกัน กับหลากเทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมแบบรถไม่พังนั่นเอง ซึ่งหลากเทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมแบบรถไม่พังเหล่านี้จะมีเทคนิคใดที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ทั้งหลายบ้างนั้น ต้องตามมาหาคำตอบกันได้ที่ด้านล่างบทความนี้กันเลย

หน้าฝนหน้าใจ ก็ต้องมาทำความรู้จักกับเทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมแบบรถไม่พัง

  • เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมแบบรถไม่พัง คือ ประเมินความลึกของน้ำ ถ้าทางข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง ควรประเมินความลึกของน้ำด้วยการเช็คกับระดับฟุตบาท โดยฟุตบาททั่วไปจะมีความสูงตั้งแต่ 10-30 เซนติเมตร ดังนั้น หากน้ำท่วมเอ่อล้นปริ่มฟุตบาท แสดงว่าระดับน้ำค่อนข้างสูงจนเป็นอันตรายสำหรับรถเก๋งทั่วไปได้
  • เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมแบบรถไม่พัง คือ ขับรถลุยน้ำด้วยความเร็วต่ำ หากประเมินแล้วว่าระดับน้ำไม่สูงจนเกินไป (ไม่เกิน 30 เซนติเมตรสำหรับรถเก๋งปกติ) ให้ขับรถผ่านไปด้วยความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหลายคนเข้าใจผิดว่าการขับรถลุยน้ำ จะต้องเร่งเครื่องให้รอบเครื่องยนต์ขึ้นสูงเพื่อป้องกันรถดับ แต่ความเป็นจริงเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะน้ำที่ท่วมขังจะกระฉอกอย่างรุนแรง ขณะที่การเร่งเครื่องจะทำให้เครื่องยนต์ดูดอากาศเข้าไปเผาไหม้อย่างรุนแรงเช่นกัน ซึ่งถ้าน้ำถูกดูดเข้าไปแล้วล่ะก็ รับรองว่าก้านสูบหัก เครื่องยนต์ดับ เครื่องยนต์น็อค กลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงควรใช้ความเร็วให้ช้าที่สุด เดินคันเร่งให้เนียน ให้จำไว้ว่าตราบใดที่น้ำไม่ถูกดูดเข้้าไปยังห้องเผาไหม้ รถจะไม่มีทางดับอย่างแน่นอน
  • เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมแบบรถไม่พัง คือ ใช้เลนที่ระดับน้ำต่ำที่สุด บนถนนที่มีน้ำท่วมขังมักมีการชะลอตัวของจราจร เพราะหลายคนจะหลีกไปใช้เลนที่มีน้ำตื้นที่สุด ดังนั้นจึงไม่ควรใจร้อนขับในเลนที่มีน้ำท่วมขังสูง เพราะหากเกิดเครื่องยนต์น็อคขึ้นมา นอกจากจะต้องเสียเงินซ่อมรถแล้ว ยังเสียหน้ารถคันอื่นอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม หากรถของคุณเกิดพังก่อนที่จะได้มาอ่านบทความนี้ และหากคุณมีประกันชั้น 2 ก็ถือว่ารอด เพราะได้คุ้มครองส่วนนี้ด้วย หากใครยังไม่เข้าใจว่าประกันรถยนต์ชั้น 2 คุ้มครองอะไรบ้าง เราจะมาไขข้อสงสัยกันแบบเร็วๆ ว่าประกันรถยนต์ชั้น 2 คุ้มครองอะไรบ้าง ซึ่งประกันชั้น 2 นี้จะคุ้มครองในส่วนของน้ำท่วม รถหาย ไฟไหม้ เห็นไหมล่ะว่าการทำประกันมันดีแบบนี้นี่เอง